ป้ายกำกับ

22 สิงหาคม 2551

โต้วาที

ช่วงนี้ไม่ค่อยมีเวลา เนื่องจากมีภาระกิจมาก ต้องบริหารเวปของกิจการตนเอง
ก็ทำ e-commerce
หลายคนถามว่า การทำธุรกิจทาง internet นั้น มันดีหรือ..
เก็บเงินได้หรือไม่ มีปัญหาอย่างไร..
ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้าต่างจังหวัด
ครับ..
ก็แน่นอน..ก็ปัญหามีไว้แก้นี่ครับ
สำคัญที่ ที่เราจะแก้ได้หรือไม่ มากกว่า..
ต้องขออภัยคณะครูและผู้ที่ติดตามอ่านด้วยนะครับ ที่ผมไม่ค่อยจะมีเวลา..


แต่อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาโรงเรียนของเราต่อไป..
ต้องยอมรับครับ..เรายังไปไม่ถึงไหนเลย..
ผมได้เริ่มพัฒนาโรงเรียนได้ยังไม่มากนัก..คาดว่ายังไม่ถึง 10% ของสิ่งที่ต้องการจะเห็นเลยครับ
แต่..ก็ต้องพยายามต่อไป..
วันนี้พอดีได้อ่านบทความของ อ.สมลักษณ์ (ผู้ปกครอง นร.)มีเรื่องเกี่ยวกับโรงเรียนของเรา
ก็เลยอยากจะเอามาฝากไว้ให้อ่านกันดูนะครับ.
ท่านเขียนบรรยายได้ดีครับ
เป็นเรื่องเกี่ยวกับการโต้วาที เรื่อง "เป็นผู้ปกครองลำบากกว่าเป็นครู..?"
ลองติดตามอ่านดูนะครับ..

http://www.gotoknow.org/blog/beesman/189328

Free Website Counter



18 กรกฎาคม 2551

ความขัดแย้ง..

ความขัดแย้ง..

ความขัดแย้ง คือ สิ่งที่ทำให้เกิดความไม่สอดคล้องกัน สิ่งที่ตรงข้ามความแตกต่างความไม่สัมพันธ์

ถ้ามนุษย์เรารับรู้ ถึงความแตกต่างที่มีอยู่ ดังนั้นความขัดแย้งก็ย่อมมีอยู่ (คถตา:มันเป็นเช่นนั้นเอง))นอกเหนือจากนั้น คำนิยามของความขัดแย้งจะรวมไปถึงความคิดที่ตรงข้ามกันแบบตกขอบ การใช้เล่ห์เพทุบาย การไม่ลงรอยกันซึ่งต้องใช้ความพยายามสูงในการควบคุม ความขัดแย้งที่เปิดเผยออกมาให้เห็น เช่น การขัดขืน การสไตรค์ การจลาจล สงคราม เป็นต้น



มีความคิดสำหรับหัวข้อนี้ หลายๆประการด้วยกันที่มีผลกระทบต่อองค์กร..



บางคนบอกว่าความขัดแย้ง ทำให้องค์กร แตกแยก ขาดความสามัคคี..

บางความคิดก็ว่า ความขัดแย้ง ก่อให้เกิด การสังสรรค์ และพัฒนา..

หลายคนกลับบอกว่า ความขัดแย้งก่อให้เกิดความสมดุลย์..



ครับ...ก็หลากหลายความคิด



สำหรับแนวคิดในเรื่องของความขัดแย้งนั้น Robbins(1998:12 -14) ได้แบ่งออกเป็น 3 แนวทาง คือ

1.แนวคิดแบบดั้งเดิม สรุปว่า ความขัดแย้งเป็นสิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยง เลวร้าย หน้าที่ของผู้บริหาร คือ การขจัดความขัดแย้ง ผู้บริหารระดับสูง เป็นผู้แก้ปัญหาความขัดแย้ง

2.แนวคิดพฤติกรรมศาสตร์ สรุปว่า ความขัดแย้งเป็นสิ่งธรรมชาติหลีกเลี่ยงไม่ได้ มิใช่จะเกิดผลร้ายแรงต่อองค์การอย่างเดียว แต่อาจจะทำให้เกิดผลดีต่อองค์การด้วย หน้าที่ของผู้บริหาร คือ จัดระดับความขัดแย้ง กระตุ้นหรือยุติความขัดแย้ง เพื่อดำเนินการที่ดีกว่า และสมดุลย์

3.แนวความคิดด้านปฏิกิริยาสัมพันธ์ นับเป็นแนวคิดที่มองความขัดแย้งในแง่ดี สร้างสรรค์ คล้าย ๆ

กับแนวพฤติกรรมศาสตร์ที่มองว่าความขัดแย้งเป็นสิ่งจำเป็น ควรกระตุ้นให้เกิด การบริหารความขัดแย้งก็คือ การยอมรับว่าความขัดแย้ง การกระตุ้น การแก้ไข ..



การแก้ปัญหาความขัดแย้งเป็นหน้าที่ของผู้บริหาร และเพื่อให้การขัดแย้งนั้นนำไปสู่ความสมดุลย์ และพัฒนาองค์กรไปได้ตามเป้าหมายที่ต้องการ.



...............................
นับว่าเป็น ปัญหาที่ค่อนข้างจะน่าหนักใจ สำหรับผู้บริหารมือใหม่ หลายๆคน
เพราะปัญหาในแต่ละองค์กรนั้น ย่อมมีปัญหาไม่เหมือนกัน
จะใช้สูตรสำเร็จมา แก้ปัญหานั้นอาจจะไม่ ประสบกับความสำเร็จได้เลย.

12 กรกฎาคม 2551

สิ่นหมินพัฒนา v 7.0

เรื่องการจัดซื้อสิ่งของต่างๆเพื่อใช้ในการเรียน การสอน ก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะปัจจุบันนี้ การจัดซื้อในองค์กรต่างๆมักจะมีปัญหาเรื่องเปอร์เซ็นต์ค่าคนดำเนินการจัดซื้อ มักจะมีการเอาผลประโยชน์เข้าตัว ซึ่งจะก่อให้เกิด การคอร์รัปชั่น ซึ่งมีหลายวิธีด้วยกัน..เท่าที่รู้ ขอยกตัวอย่างให้เพื่อนครูได้รับทราบดังนี้..


๑.ขอเปอร์เซ็นต์ จากการจัดซื้อ เช่นไปตกลงกับร้านค้า ว่าถ้ามาซื้อที่ร้านนี้แล้ว ขอส่วนลด 10 เปอร์เซ็นต์บ้าง 15 เปอร์เซ็นต์บ้าง แล้วแต่สินค้าที่กำไรมาก กำไรน้อยของทางร้านเขา


๒.บวกบิลเพิ่ม ซื้อสินค้า ราคา 100 บาท บอกให้ร้านลงราคาไป 150 บาท กำไรเหนาะๆเข้าตัวเอง 50 บาทต่อชิ้น ถ้าซื้อซัก 50 ชิ้นก็ได้กำไรแล้ว 2500 บาท สบายไป


๓.เติมบิลใหม่ นี่ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะหาเงินใส่กระเป๋าตัวเอง กรรมวิธีหรือครับ..
ง่ายๆดังนี้ เช่น ซื้อ ลูกฟุตบอล 30 ลูก แต่ให้ลงเพิ่มอีกว่า ซื้อปูนขาวโรยเส้นสนาม อีก 300 ถุง จริงๆแล้วไปซื้อปูนขาว แค่ 100 ถุง กำไรเข้ากระเป๋าสบายๆอีก 200 ถุง ถ้าถุงละ15 บาทก็รับทรัพย์ ไปอีก 3000 บาท สบายไป..สินค้าพวกนี้ตรวจนับได้ก็จริงเวลาร้านค้ามาส่งของเขาจะเอามาครบ แต่เวลาเอาไปโรยเส้นก็โยแค่ 100 ถุง ที่เหลือก็เอาไปคืนรับเงินกลับไปแทน..


๔. ขอของแถม เช่น ซื้อสินค้าอะไรก็ตาม ก็ขอของแถมจากร้านค้า เสมอๆ ซื้อกระดาษสามห่อ ขอไดอารี่ซักเล่มนะ เอาไปใช้ส่วนตัว (ทำตัวเหมือนขอทาน) ร้านค้าก็ไม่โง่หรอกครับ เขาก็บวกราคาในตัวสินค้าไว้เรียบร้อยแล้ว คราวนี้บวกไม่ได้ ก็บวกงวดหน้า โรงเรียนก็ซื้อของแพงขึ้น..เฮ้อ..



จริงๆแล้ววิธีการต่างๆมีมากกว่านี้ กลัวเขียนต่อแล้วจะเป็นการชี้โพรงให้กระรอกเสียเปล่าๆ
แต่... ผมเชื่อว่า คุณครู รร.สิ่นหมิน ไม่เป็นเช่นนี้อย่างแน่นอน (เพราะคุณครูทุกท่านมีเกียรติเชื่อถือได้)
.... ผมเชื่อเช่นนั้นจริงๆ...
สำหรับการจะสั่งซื้ออะไรก็ตาม ผมให้เน้นดังนี้...



“ จำเป็น ประโยชน์ ประหยัด โปร่งใส เครือข่าย ”


จำเป็น ต้องจำเป็นจะใช้จริงๆเพื่อให้ นักเรียน และครูได้รับสิ่งที่ดีที่สุด


ประโยชน์ ต้องมีประโยชน์ สำหรับใช้ในการเรียนการสอนเป็นอย่างดี และสะดวกเพื่อให้เด็กได้รับสิ่งที่ดีที่สุดจริงๆ


ประหยัด อันนี้คงไม่ต้องบรรยาย ต้องซื้อของที่ดี เหมาะสมกับราคา ถูกและใช้งานได้ดีตามสภาพของสินค้านั้นๆ


โปร่งใส แน่นอนครับ การจัดซื้อ ควรจะมีการสอบราคาหลายๆแห่ง ให้ได้ราคาที่ถูก ควรต้องการใช้งาน ไม่มีการขอเปอร์เซ็นต์ ไม่มีบวกเพิ่มราคา


เครือข่าย ต้องซื้อสินค้าและบริการจาก กลุ่มคณะกรรมการใน รร.หรือ สมาชิกสมาคมของเราเท่านั้น นอกจากร้านในกลุ่มเราไม่มีสินค้านั้นๆ จึงไปหาซื้อที่อื่นๆได้ อันนี้คงไม่ต้องอธิบายนะครับ..

การจัดซื้อทุกครั้งที่มีมูลค่าเกิน 1000 บาท ต้องมีการดำเนินการดังนี้..

๑.ต้องมีโครงการ เสนอให้ ผอ. และประธานฯรับทราบก่อน

๒.ต้องมีบันทึกการจัดซื้อให้ ผอ.เห็นชอบ

๓.สืบราคา อย่างน้อย สองร้านค้า

๔.ให้ ผอ. และประธานฯ อนุมัติการจัดซื้อ
๕.เมื่อได้รับอนุมัติแล้ว ให้นำบันทึกนั้นๆไปให้กองการเงิน(คุณรุ่งทิวา)จัดซื้อต่อไป..


หวังว่าการจัดซื้อครั้งต่อไป ได้โปรดช่วยกันดำเนินการตามขั้นตอนดังกล่าวนะครับ

เพื่อความเป็นระเบียบขององค์กรของเรา ให้เข้าสู่ระบบสากลเสียที...

หรือ..คุณครูมีความคิดเห็นต่างจากนี้ ก็ แสดงความคิดเห็นได้นะครับ..

ยินดีฟังเหตุผลของคุณครูทุกคนอยู่แล้วจ๊ะ..

----------------------------------------

-----------------------------------------



Free Website Counter

Free Counter

30 มิถุนายน 2551

สิ่นหมินพัฒนา v 6.0

30 มิย.51
11.20 น.
วันนี้ว่างจากงานประจำ ลองเดินเลียบๆเคียงๆเข้าไปดูใน รร.
โดยเฉพาะที่โรงอาหาร อื่ม...ม.. ทุกอย่างก็ดูเรียบร้อยดีนะ
เห็นเด็กนักเรียนลงมารับประทานอาหารกัน ดูสนุกดี เด็กหลายๆคนหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส
คาดว่า อาหารคงถูกใจ กับข้าวอร่อย..
เลยลองให้ครูโภชนาการตักอาหารใส่ถาดหลุมแบบที่คุณครูทานกัน ลองมาทานดูซิ
อื่ม..ม.. อาหารถูกปาก มีต้มจืด ผัดผัก ดูคล้ายๆแกงหมูเทโพ ออกจะหวานนิดๆ
ก็คงถูกใจเด็กๆ ผัดกระเพราหมู หมูเยอะดี ไม่ใช่มีแต่วิญญาณหมูเหมือนเมื่อก่อน
ก็เลย..ชมเชยครูอ้อยและผู้เกี่ยวข้องไปเล็กน้อย..(กลัวชมมากจะเหลิง)
เธอก็บ่นบ้าง กลัวใส่เนื้อหมูเยอะจะขาดทุน ผมก็บอกว่าไม่เป็นไร
"ถ้าเด็กๆได้รับแต่สิ่งดีๆ อาหารครบหมู่ ครบตามคุณค่าของการโภชนาการ
ก็ โอเค เรื่องขาดทุน เอาไว้คิดกันทีหลัง"
ก็เลยแนะนำไปว่า..เรื่องเมนูอาหารควรจะหากระดานมาซักแผ่น ติดไว้บริเวณ
โรงอาหาร ให้เด็ก นร.เขียนรายการกับข้าวที่อยากจะทานในวันรุ่งขึ้น
ว่าต้องการทานอะไร ทางฝ่ายโภชนาการ ก็ทำกับข้างอย่างที่เด็กต้องการ
ก็คงจะดีไม่น้อย..
...........................
คุณครูจอย ครูอัน เข้ามาพบและพูดคุยด้วยในห้องขายคูปอง
สักพัก พอดี อาจารย์ใหญ่เข้ามาพบแล้วร่วมวงคุยกัน..

ผมเลยออกตัวว่าไม่ได้เข้ามาจับผิดนะ แต่จะลองดูซิว่า
ถ้าโรงเรียนไม่ได้เตรียมพร้อม อาหารต่างๆจะดีหรือไม่..ปรากฎว่า ..
โอเค ดีมาก..ไม่ผิดหวัง
และเชื่อว่า ครู รร.เรา มีศักยภาพสูงไม่แพ้โรงเรียนไหนๆจริงๆ
หลังจากที่เข้ามาสัมผัส เพียงแต่อาจจะขาดกำลังใจไปบ้าง
ถ้ากระตุ้นถูกทาง รับรองว่าไปโลด.....
..
ผมโชคดีอยู่บ้าง ที่เข้ามาบริหารดูแลโรงเรียนสิ่นหมินแล้ว ได้รับความร่วมมือ
จากคณะครูดีมากเลยครับ..
ขอบใจ และขอบคุณมากนะ..คุณครูที่รักทุกท่านครับ...
เชื่อว่า... ถ้าครูทุกคนให้ความร่วมมืออย่างนี้แล้ว...

" ไม่เกิน 3 ปี โรงเรียนสิ่นหมิน จะเป็นโรงเรียนที่ ฮิต และฮอต ที่สุด ..! "
และเราคงไม่ต้องไปไล่ต้อนให้เด็กนักเรียนให้มาเรียนที่โรงเรียนเราอีกต่อไป...
เพราะผู้ปกครองคงจะนำเด็กมาแย่งกันเข้าเรียนกับเราเองแหละ ..

คุณว่ามั้ย ..?

-----------------------------------------

23 มิถุนายน 2551

กำลังใจ


วันนี้รู้สึกเซ็งๆ เลยหยิบหนังสือธรรมะมาอ่าน..

คำของท่านพุทธทาสภิกขุ สอนไว้อย่างมีประโยชน์ ดังนี้

เขามีส่วน เลวบ้าง ช่างหัวเขา
จงเลือกเอา ส่วนที่ดี เขามีอยู่
เป็นประโยชน์ โลกบ้าง ยังน่าดู
ส่วนที่ชั่ว อย่าไปรู้ ของเขาเลย

จะหาคน มีดี โดยส่วนเดียว
อย่ามัวเที่ยว ค้นหา สหายเอ๋ย
เหมือนเที่ยวหา หนวดเต่า ตายเปล่าเลย
ฝึกให้เคย มองแต่ดี มีคุณจริง

อ่านจบ ทำให้นึกถึงบทกลอนขึ้นมาอีกบทหนึ่ง
อ่านมานานแล้ว.....
จำไม่ได้ ว่าใครแต่ง
..
ใครชอบ ใครชัง ช่างเถิด
ใครเชิด ใครชู ช่างเขา
ใครเบื่อ ใครบ่น ทนเอา
ใจเรา ร่มเย็น เป็นพอ
...................
อีกบทนึงของ"หลวงวิจิตรวาทการ"
.......เป็นการง่าย ยิ้มได้ ไม่ต้องฝืน
เมื่อชีพชื่น เหมือนบรรเลง เพลงสวรรค์
แต่คนที่ ควรชม นิยมกัน
ต้องใจมั่น ยิ้มได้ เมื่อภัยมา
.................

Free Website Counter

Free Counter

20 มิถุนายน 2551

สิ่นหมินพัฒนา v 5.0

วันนี้จะมาพูดเรื่อง....การพัฒนาต่อไปครับ..

5. การพัฒนาด้านการเรียนการสอนตามระบบใหม่
จริงๆแล้วการสอนหนังสือสมัยใหม่ นั้นมีสื่อการสอนมากมายสามารถนำมาใช้ได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม เรื่องครูผู้สอนนั้นสำคัญกว่าสื่อทั้งหมด ดังนั้นเราจะพยายามเน้นเรื่องบุคคลมากกว่าสื่ออีเลคโทรนิคส์ต่างๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีชีวิต ดังนั้นเราจึงต้อง..
- มีการเชิญบุคคลภายนอกมาเป็นอาจารย์พิเศษ เป็นที่ปรึกษาทางด้านการเรียนการสอน มาพัฒนาการสอนของครูทุกคนใน รร.
- เพิ่มครูพิเศษ มาดูแลด้านต่างๆ เช่น ครูจีนที่ อิมพอร์ตมาจากประเทศจีนโดยตรง ครูสอนภาษาอังกฤษ ที่เป็นชาวต่างประเทศ ครูคหกรรม มาดูแลด้านอาหารโดยตรง ครูคณิตศาสตร์จะส่งไปอบรมให้เก่งที่สุด เพื่อเด็กๆของเราจะได้เก่งที่สุดเช่นกัน
- พยายามจะจัดให้มีการประชุมระดมสมองของ 8 กลุ่มสาระการเรียนเพื่อ หาวิธีการสอนที่ดีที่สุดมาสอนเด็ก นักเรียนของเรา
-จัดตั้งฝ่ายวิจัย ประเมินผล เพื่อประเมินการเรียน การสอนของครูและนักเรียน และคิดค้นนวัตกรรมใหม่มาเพื่อใช้ในการสอนให้ดีที่สุด
- ฝึกเด็กให้รู้จักการนั่งสมาธิโดยการเพ่งถ้วยน้ำ เพื่อสร้างสมาธิ เมื่อมีสมาธิ ก็จะเกิดปัญญา เมื่อเกิดปัญญาแล้ว จะเกิดศีล เมื่อเกิดศีลธรรมในใจของเด็กแล้ว เด็กทุกคนก็จะเป็นคนดีของสังคม

6. การพัฒนาด้านต่างๆที่เป็นส่วนประกอบ ของการเรียน
-พัฒนาโรงเรียนสิ่นหมินให้เป็นศูนย์กลางการเรียนการสอนภาษาจีนในระดับภูมิภาค และเน้นการสอนภาษาจีนเป็นหลัก
- พัฒนาเรื่องด้านอาหาร ห้องอาหารสะอาด อาหารครบ๕หมู่ เพิ่มอาหารประเภทปลา และผักผลไม้ที่จำเป็นต้องวัยของเด็ก
- เปลี่ยนแท๊งค์น้ำ ไร้สารตะกั่ว
- จัดตั้ง สหกรณ์โรงเรียนให้เด็กรู้จักการทำธุรกิจ
-จัดตั้งธนาคารโรงเรียนเพื่อสอนให้เด็กรู้จักออมทรัพย์ และรู้คุณค่าของเงินแบบยั่งยืน
- พัฒนาด้านกีฬา เช่นด้านบาสเก็ตบอล เพื่อให้เด็กมีสุขภาพที่ดี และยังตกลงกับโรงเรียนกีฬา จังหวัดพิษณุโลก ที่จะรับเด็กนักเรียนจาก รร.สิ่นหมิน เข้าไปเรียนฟรี 20 คน โดยไม่มีค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น (ปีนึงค่าใช้จ่ายประมาณ แสนกว่าบาท ได้ฟรีทั้งหมดทั้งที่พัก อาหารการกิน รวมทั้งเสื้อผ้า เครื่องใช้ต่างๆ)
-สนับสนุนครู และเด็ก นักเรียนไปแสดงความสามารถภายนอก รร. พร้อมทั้งมอบใบประกาศเกียรติคุณ และประชาสัมพันธ์ให้เป็นที่รับรู้ทั่วๆไป
-จัดตั้งชมรมดนตรีไทย และจีน
-ประกวดห้องเรียนสวยงามและมีสาระในการเป็นแหล่งเรียนรู้ของเด็กในห้อง
- ปรับปรุงระบบบัญชี และระเบียนนักเรียนโดยใช้คอมพิวเตอร์อย่างเต็มรูปแบบ
-พัฒนาเวปไวค์ของ รร.ให้เป็นที่แพร่หลาย และเป็นช่องทางให้ผู้ปกครองได้แสดงความคิดเห็น
-ตั้งห้องเรียนนำร่อง ในระบบอินเตอร์ EC.program (English-chainese Program) ให้ notebook คนละตัว ห้องเรียนติดแอร์ มีครูประจำห้อง 3 คน
ใส่สูท รับเพียง 25 คน ค่าเทอม 35,000 ต่อเทอม อันนี้ไม่แน่ใจว่า จะจัดตั้งได้ในปี2552 หรือไม่ เพราะมีเงื่อนไขหลายอย่างที่ยังมีปัญหาอยู่บ้าง

เหนื่อยไหมครับ ... หลังจากที่ฟังโครงการหลายอย่างที่เริ่มทำ และทำไปแล้ว
สำหรับโครงการบางอย่างที่ยังไม่ได้ทำ เราจะพยายามทำให้ได้ในปีต่อๆไป..

14 มิถุนายน 2551

สิ่นหมินพัฒนา v 4.1

ถ้าใครหลงกลเข้ามาอ่าน
เพื่ออรรถรสในการอ่าน กรุณา เริ่มอ่านตั้งแต่ เวอร์ชั่น 1 นะครับ

เชื่อผมเถอะ..
ขอต่อจากเมื่อวาน..
หลังจากที่เราพัฒนาเรื่องข้างต้นมาแล้ว ..

4. การพัฒนาด้านเทคโนโลยี
-ปรับปรุงด้านห้องคอมพิวเตอร์ เพิ่มเครื่องใหม่ๆอีกจำนวนมาก และทันสมัย
- ปรับเปลี่ยนห้องคอมพิวเตอร์ ให้เด็กหันหน้าเข้าหาคุณครู และติดตั้งกระจกเงาด้านหลังห้องเรียน เพื่อครูจะได้เห็นเด็กได้ทั่วทุกคน
- เพิ่ม คอมพิวเตอร์ และปริ้นเตอร์ในห้องพักครูทุกห้องและติดตั้งอินเตอร์เน็ตไร้สาย เพื่อให้ครูได้ใช้เวลาว่างในการค้นคว้าหาความรู้มาให้เด็ก สมกับคำที่ว่า “เด็กต้องได้รับสิ่งที่ดีที่สุดจากครู”
- ปรับปรุงเครื่องเสียงและโทรทัศน์ ในห้องที่จำเป็นใช้ทุกห้อง เช่นห้องโสตฯ ห้องเรียนภาษา ห้องนาฏศิลป์
- หาโปรแกรมที่เป็นสื่อการสอนทางคอมพิวเตอร์ แบบใหม่ๆ อย่างเต็มรูปแบบ
- ติดตั้ง กล้องวงจรปิด ทุกห้องเรียน เพื่อให้ผู้บริหารและผู้ปกครอง สามารถดูแลเด็กของเราได้เป็นอย่างดี (อันนี้กำลังคิดอยู่ว่าเหมาะสมหรือไม่)

( อ่านแล้วเป็นไงครับ ท่านคงคิดว่า..มันดูคล้ายๆกับพวกผู้แทน มาหาเสียงเนอะ กำหนดนโยบายอย่างโน้นอย่างนี้ แล้วมันจะทำได้รึเปล่านะ)
อือม...มันคง...ต้องใช้เวลาบ้างนะครับท่าน...

วันนี้พอก่อนครับ...
พรุ่งนี้จะมาว่าเรื่อง..
การพัฒนาการเรียนการสอนตามระบบใหม่..
มีแนวคิดอยู่ว่า เด็กนักเรียน จะรับการสอนจากครูได้ไม่เท่าเทียมกันกัน เพราะเด็กแต่ละคนไม่ระดับการเรียนรู้ไม่เท่ากัน การที่คุณครูสอนเด็กนักเรียนนั้น เหมือนการสาดน้ำให้เข้าใส่ในภาชนะต่างๆ บางคนเป็น ชามใหญ่ๆ บางคนเป็นถ้วยเล็กๆ บางคนเป็นได้แค่ปากขวด ในขณะที่บางคนเป็นกระชังก้นรั่ว ใส่เข้าไปเท่าไหร่ ก็รั่วออกหมด เราจึงมีแนวคิดว่า การสอนเด็กนั้นต้องแบ่ง เด็กออกเป็นประเภทต่างๆตามการรับรู้ของเด็ก ซึ่งจะกล่าวต่อไป..
-----------------------------------------------------

12 มิถุนายน 2551

สิ่นหมินพัฒนา v.4

วันพุธ
บ่าย 14.00 น.

วันที่ 14 พฤษภาคม 2551 ที่ผ่านมาผมได้รับเชิญจากชมรมผู้ปกครองไปพูด เรื่องทิศทางการบริหารโรงเรียนสิ่นหมิน ที่ห้องชมรมผู้ปกครองจากคุณเล็ก(กรรมการชมรมผู้ปกครอง) โดยมีคณะกรรมการหลายๆคนร่วมแสดงความคิดเห็นอยู่ด้วย
การพัฒนาโรงเรียนของเรา แบ่งออกเป็นด้านต่างๆดังนี้..(บางอย่างได้เริ่มทำไปแล้ว บางอย่างกำลังเริ่ม)

1.การพัฒนาด้านบุคลากร
-เชิญบุคคลผู้เชี่ยวชาญจากภายนอกมาอบรมและพัฒนาการเทคนิคการสอนให้คณะครู
- จัดหาข้อสอบจากคุณครูภายนอกมา ทดสอบเด็กนักเรียนของเราเพื่อให้มีทักษะในการทำข้อสอบได้ดียิ่งขึ้น
- ครูต้องเข้าอินเตอร์เน็ต เพื่อการค้นคว้า หาความรู้และต้องมีอีเมล์ของตนเองทุกคน
- จัดประกวดครูดีเด่นประจำปี โหวดโดยผู้ปกครอง
- ให้รางวัลแก่ครูผู้คิดสื่อดีเด่น สำหรับการเรียนการสอน
- เช็คมาตรฐานการสอนขอครูโดยให้นักเรียนทำข้อสอบจากบุคคลภายนอก
- การให้เกียรติผู้ปกครองโดยการไหว้และทักทายก่อน
-จัดสวัสดิการครู เพื่อสร้างขวัญกำลังใจในการงาน เช่น อาหารการกิน /การให้กู้ยืมเงินฉุกเฉิน การกู้สามัญ ชุดฟอร์ม เงินประจำตำแหน่ง
- ส่งครูไปอบรมในเรื่องวิชาการต่างๆ และอบรมการพัฒนาตนเอง

2. เสริมสร้างพัฒนการและคุณภาพชีวิตของเด็กนักเรียน
-จัดสอนพิเศษวิชาหลัก 4 วิชาให้ เด็กนักเรียนชั้นป. 5-6 เพื่อสามารถแข่งขันกับเด็กโรงเรียนอื่นๆได้ โดยผู้เชี่ยวชาญจากภยในและภายนอก
- จัดให้มีการสอนภาษาจีนฟรี แก่เด็กนักเรียน ทุกเสาร์-อาทิตย์ ในช่วงเช้า
- ฝึกสมาธิเด็กนักเรียนโดยวิธีของหลวงวิจิตวาทการ อันทำให้เกิด ศีล สมาธิ และปัญญา
- จัดให้มีการทัศนาจรเพื่อการศึกษาให้กับเด็กนักเรียนทุกปี
- ให้เด็กนักเรียน ชั้น ป.1,2,3 เรียนว่ายน้ำที่ อนุบาลประชาราษฎร์
- ให้เด็กนักเรียนได้รับประทานอาหารที่ดีมีประโยชน์ เช่นอาหารประเภทเนื้อปลา และผักต่างๆ เหมาะสมตามช่วงวัย
- ให้เด็กรู้จักเข้าห้องสมุด และศูนย์วิทยาศาสตร์(ของเทศบาลที่อยู่ข้างๆ รร.)
3.การสร้างเสริมความสัมพันธ์กับผู้ปกครอง
-จัดให้มีการสอนภาษาจีนฟรีๆแก่ผู้ปกครองทุกเย็นระหว่างรอรับบุตนหลานของท่าน
- จัดให้มีการสอนการใช้คอมพิวเตอร์ฟรีแก่ผู้ปกคอง
- เปิดอบรมผู้ปกครอง และให้ความรู้ วิธีการช่วยเหลือบุตร หลานในวัยเรียนเมื่ออยู่บ้าน
- จัดกิจกรรมวอลค์แรลลี่ให้ เด็ก และผู้ปกครองนอกสถานที่ เช่น เขาสมอแครง หรือที่อื่นๆทีเหมาะสม
-จัดกิจกรรมร่วมกันระหว่างผู้ปกครองและครู เช่นโต้วาที สังสรรค์
ยังมีต่อ..
พรุ่งนี้ค่อยเขียนต่อนะครับ..

10 มิถุนายน 2551

สิ่นหมินพัฒนา v.3

ขอต่อจากเมื่อวานนะครับ..

วันนี้เข้าโรงเรียนเพื่อปรึกษางานต่างๆกับคณะครู ซึ่งเป็นประจำทุกวันอังคาร ผมจะอนุญาติให่คุณครูทุกคนได้เข้าพบได้ เพื่อแก้ปัญหาทุกอย่างที่เกิดขึ้นในโรงเรียน

ทำไมต้องทำแบบนี้..?

ครับ..ท่านที่รักครับ.. ผมมีความคิดว่า องค์กรใดก็ตาม ถ้าผู้บริหารใจเปิดกว้างพอ ควรรจะให้ทุกๆคนในองค์กรสามารถเข้าพบ และแสดงความคิดเห็น หรือปรึกษา หารือปัญหาต่างๆได้ โดยไม่ต้องมีขั้นตอนมากนัก เพื่อแก้ปัญหาทุกๆอย่างที่เกิดขึ้นโดยฉับพลัน และการแก้ปัญหานั้นต้องเด็ดขาด สามารถฟันธงได้ทันที มิเช่นนั้นแล้ว ปัญหาทุกอย่างอาจจะบานปลาย จากปัญหาเล็กๆไปสู่ปัญหาที่ใหญ่กว่า ซึ่งอาจจะแก้อะไรไม่ได้เลย..

หรือท่านว่าไม่จริง....?

เช่น เมื่อเร็วๆนี้เอง..มีผู้ปกครองมาบอกกับเราว่า..ลูกๆของเขา(ซึ่งเป็นนักเรียนของเรา และเราก็ถือว่าเป็นลูกของเราเช่นกัน)ไม่รับประทานอาหารประเภทผัก.. ซึ่งเราก็ทราบกันอยู่แล้วว่า อาหารประเภทพืชผัก ช่วยการย่อย การขับถ่าย กับร่างกายได้เป็นอย่างดี และมีวิตามินต่างๆไม่น้อยเลย ..

อื่ม.ม.ม.. นี่ก็เป็นปัญหาหนึ่งที่เราต้องเอามาคิด (ตามสโลแกน เด็กต้องได้รับสิ่งที่ดีที่สุดจากครู) ทำไงดีล่ะ.?
ผมนั่งคิดมาชั่วครู่ ได้คำตอบมาดังนี้..

ไอ้ เค เอฟ ซี ( KFC) ที่เด็กๆ ชอบไปนั่งกินไก่ทอดตามห้างดังๆ มันมี ไอ้เจ้าสลัดผัก ที่ทำจากเมล็ตธัญญะพืช เช่น เม็ดข้าวโพด แคร้อต เม็ดถั่งลันเตา ผักบางชนิด แล้วราดด้วยสลัดครีมหวานๆ
"อื่ม..อร่อยดีนะ..!"
ถ้าเราลองทำขึ้นมาแล้วให้เด็กลองกินดูล่ะ.. น่าจะเข้าดีนะ..

รุ่งขึ้นผม เข้าไปที่ รร.แล้วเชิญครูฝ่ายโภชนาการ(ครูอ้อย) ลองทำขึ้นมา ให้เด็กกินดู
ครูอ้อยก็จัดการไปหาซื้อ เมล็ตธัญญะพืชต่างๆ เอามานึ่ง ให้สุก แล้วทำตามสูตรที่ผมให้ไว้

ผลปรากฎว่า.....

ผิดคาดครับ ..เด็กไม่ค่อยชอบกิน..แต่คุณครูต่างก็ชอบ..

"เออแน่ะ... เป็นงั้นไป " ผมจึงสั่งให้คุณครู นำมาใหผมลองทานดู .. อ้อ..ครับ ก็รู้ถึงปัญหา
" ก็ไม่ไม่หวานเลยนี่ .." ผมต่อว่าคุณครู
คุณครูแกกลัวจะเปลืองน้ำสลัด เลยราดน้ำสลัดน้อยไปนิ้ดนึง..เด็กๆก็เลยไม่ชอบ เพราะมันไม่หวาน
ผมจึงสั่งการไปใหม่ งวดหน้า ต้องใส่น้ำสลัดเยอะๆ และฉีก เนื้อไก่ หรือเนื้อปลาลงไปบ้าง
ลองดูอีกทีนะ..
ครับ..เราคงจะได้คำตอบเร็วๆนี้ล่ะ..

วันนี้ พอก่อนนะ เหนื่อยแล้วครับ..
พรุ่งนี้จะมาบันทึกต่อ..

อ้อ..ถ้ามีใครหลงกลเข้ามาอ่าน..
ช่วยออกความเห็นด้วยซิ..เขียนคนเดียว ..
มันเหงานะ..เพ่..

08 มิถุนายน 2551

สิ่นหมินกับการพัฒนา version 2.0

[กรุณาเริ่มอ่านตั้งแต่ version 1.0 นะครับ]
=====================
ขอต่ออีกนะครับ..
ครับ..หลังจากเราพัฒนาสิ่งต่างๆกล่าวไปแล้ว(ซึ่งยังมีอีกมาก จะกล่าวถึงภายหลัง)

อีกสิ่งหนึ่งที่เราต้องพัฒนาเพื่อนักรียนของเราก็คือ..
เรื่องอาหารการกิน ท่านสังเกตุไหมครับว่า เด็กของเราสมัยนี้ มักจะมีน้ำหนักเกินเสียส่วนใหญ่
เพราะอะไรครับ ปัจจุบันนี้ พ่อ แม่มักจะปล่อยปะให้บุตรหลาน ทานอาหารที่ เป็นอาหารขยะ ที่เราเรียกกันว่า junkfood ซึ่งไม่มีประโยชน์ต่อร่างกายและสมองเลย มีแต่แป้งและไขมัน
มาปีนี้ เราพยายามจัดอาหารให้เด็ก ได้รับประทานอาหารที่ เป็นประเภทปลาทะเล และปลาน้ำจืด
เพราะมีสารหลายชนิดที่ ที่บำรุงสมอง และประสาท เช่น สารประเภทโอเมก้า 3 โปรตีน และไม่มีคลอเลสเตอล่อน พร้อมทั้งยังจัดอาหารที่เป็นผัก ผลไม้ เพื่อเป็นกาก และมีวิตามินหลายๆชนิด ที่ส่วนใหญ่จะช่วยในการเจริญเติบโตของร่างกาย อีกทั้งยังช่วยภาวะการขับถ่าย ได้เป็นอย่างดี


หลายท่านคงถามต่อ..
แล้วการเรียนการสอนล่ะ ทำไงต่อนะ..

โปรดติดตามครับ...
ปีนี้ เราจะระดมสมอง(brain stormming) เพื่อให้ครู และนักเรียน ได้ร่วมกันเรียนแบบบูรณาการ
แล้ว ทำไงล่ะ..
ก่อนอื่น...ครูต้องได้รับการอบรมจาก อาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิ จากมหาวิทยาลัยที่มีชื่อ เพื่อพัฒนาการสอน
ให้ก้าวหน้า และ สามารถถ่ายทอดความรู้แต่เด็กได้เป็นอย่างดี




ยังมีต่อ..





สิ่นหมินกับการพัฒนา version 1.0




บันทึกถึง..ท่านผู้ที่เกี่ยวข้อง

โรงเรียนสิ่นหมินของเรา ยุคนี้บริหารโดย "มูลนิธิสิ่นหมินพัฒนา"โดยมี
คุณวาณิช ศิริเจริญภัณฑ์ เป็นประธานมูลนิธิ และมีคณะกรรมการบริหารโรงเรียนชุดหนึ่งเป็นผู้บริหารโดยตรง เรียกว่า..

บอร์ดใหญ่
และ..มูลนิธิสิ่นหมินพัฒนา ขึ้นกับ สมาคมจีนจังหวัดพิษณุโลก มีคุณวรรณี ด่านสว่างเป็นนายกสมาคม
เอาเป็นว่า..ความเป็นมาก็โดยคร่าวๆแค่นี้นะครับ

ประมาณเดือน มีนาคม 2551 ผมได้รับการทาบทามจาก คุณวาณิช ให้มาช่วยดูแลโรงเรียนสิ่นหมิน ในฐานะประธานบริหารฝ่ายการศึกษาโรงเรียนสิ่นหมิน...
ท่านครับ..
แวบแรกของความคิด.. "หนักใจ..กังวลใจ และลำบากใจ..ไม่อยากเข้ามาบริหารเลยจริงๆ เพราะพอทราบปัญหา หลายๆอย่าง ที่ต่อเนื่องและเรื้อรังอยู่ ""ไม่ใช่เพราะผู้บริหารเดิมไม่ดีนะครับ..แต่ ปัญหาต่างๆมันต่อเนื่องมานานปี ต้องอาศัยการตัดสินใจที่เด็ดขาด และกล้าหาญ เพราะ เราจะต้องเผชิญกับ เรื่องผลประโยชน์ต่างๆ กับหลายฝ่าย ไม่ว่า กับคณะครู ผู้ปกครองนักเรียน ร้านค้า และผู้ที่เป็น Stakeholder(ผู้มีส่วนได้เสีย)ต่างๆ "
"บางครั้งอาจจะต้องปะทะกับครูเก่าๆที่ยังยึดมั่น กับวิธีการสอนแบบเดิมๆ ซึ่งเคยใช้ได้ดีเมื่อสมัย 20-30 ปีที่แล้ว"
" หลายสัปดาห์ ที่เตรียมตัวมาบริหาร ได้พยายามศึกษาถึงปัญหา และระบบการบริหารต่างๆที่ เป็นอุปสรรค ทำให้โรงเรียนไม่บรรลุถึงเป้าหมาย ปัญหาเยอะพอควร เรียกว่า แตะตรงไหนเป็นปริตรงนั้น..ทำไงดีนะ"
"บางครั้งยังโดนปรามาส จากคนที่อยูในแวดวงการศึกษา ว่า..เองเป็นพ่อค้าเจ๊กๆจีนๆธรรมดา จะรู้เรื่องอะไรกับการศึกษาวะ.."
"ผมเชื่อว่า..แม้นแต่คณะคุณครูเอง คงคิดในใจ น้ำหน้าอย่างมึง จะทำไปได้สักกี่น้ำวะ .."

แต่ท่านครับ..."คำปรามาสเหล่านี้ผมได้แต่เก็บไว้ในใจ..และจะพยายามทำให้ดีที่สุด เท่าที่ปัญญาที่พอมีอยู่บ้าง"แล้วเราจะคอยดูกันต่อไป.....

สิ่งแรกที่ผมคิด...
โรงเรียนจะเจริญ และพัฒนาไป โดยมีทิศทางที่ดี และเหมาะสม ต้องมาจาก คณะครูก่อนเป็นอันดับแรก..
ผมต้องพัฒนาบุคคลากรในโรงเรียน(คณะครู-เจ้าหน้าที่-พนักงาน)ก่อน..
ผมบอกกับตนเองอยู่ในใจ..
อันดับต่อมา..ต้องปรับเปลี่ยนระบบบริหาร การบังคับบัญชา การเอาจริงเองจังกับการสั่งการต้องเฉียบขาด และชัดเจนไม่ซับซ้อน แถมต้องโปร่งใส ตอบได้กับทุกคำถามที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และต้องให้คุณให้โทษได้กับผู้ที่ปฏิบัติตาม และผู้ที่ฝ่าฝืน
พร้อมๆกันนั้น..ต้องพัฒนาเทคโนโลยี ทางการศึกษา ไม่ว่าจะเป็น คอมพิวเตอร์ สื่อการเรียนการสอน เครื่องใช้ไม้สอยต่างๆที่จำเป็น เปรียบเสมือน ส่งคณะครูไปออกรบแล้วต้องติดอาวุธทางปัญญาให้ด้วย ไม่งั้น รบกี่ครั้งก็แพ้ลูกเดียว..หรือท่านว่าไม่ใช่ล่ะ ?"
การสอนของคณะครูก็เช่นเดียวกันต้อง พัฒนาการสอนแบบบูรณาการ(คำพูดที่เข้ากับยุคสมัย..แต่ก็ยังใด้นะ) การสอนไม่ใช่สักว่าแต่..สอน สอน และสอนเท่านั้น ต้องรู้จักสอนให้เด็กนักเรียนรู้วิธีการเรียนด้วย เพราะเด็กๆมาจากสภาพครอบครัวที่แตกต่าง การรับรู้วิชาการต่างๆ รับได้ไม่เท่ากัน บางคนเป็นกะลามังใหญ่ๆ รับรู้การสอนได้เต็มที่ บางคนเป็นเป็นถ้วยเล็กๆ บางคนเป็นกระชังก้นรั่ว บางคนเป็นปากขวด รับอะไรแทบไม่ได้เลย คุณครูจึงต้องมีวิธีการสอนที่แตกต่างกันไป ให้เหมาะกับทุกคน สมกับวัยของเด็กแต่ละคน
จากนั้นก็มาดูที่นักเรียน ครับ..เด็กนักเรียนต้องพัฒนาควบคู่กันไปให้สู่สุดยอดของการเรียน ความรู้ ความสามารถรอบตัวทุกด้าน ที่จะแข่งกับใครก็ได้ใลกนี้ อย่าว่าแต่ในจังหวัดพิษณุโลกเลย (อันนี้โม้นิดๆ)..

ส่วนผู้ปกครองล่ะ..นี่ก็ต้องพัฒนาการสอนให้ผู้ปกครอง รู้จัก การดูแลลูกหลานของท่านให้เข้ากับการพัฒนาของเด็กในแต่ละวัยเช่นกัน จึงคิดอยากจะเปิดโรงเรียนที่มีการอบรมให้ผู้ปกครองรู้จักช่วยเหลือเด็กในยามที่เด็กกลับถึงบ้าน..ไม่ใช่ อะไรๆ ก็โยนให้ครูทั้งหมด..อันนี้ต้องเข้าใจนะครับ ครูไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างของเด็กนักเรียน และครูไม่ใช่เทวดาที่จะบันดาลอะไรๆให้กับเด็กได้ทุกอย่าง..ดังนั้นผู้ปกครองต้องช่วยกันด้วย..เพื่อสิ่งที่ดีที่สุดของบุตรหลานท่าน ผู้ปกครองบางท่านก็เหลือเกินจริงๆ เช้า แปดโมงปุ๊บ มาโยนเด็กไว้ที่โรงเรียน แล้วมอบทุกสิ่งทุกอย่างให้เป็นภาระของครู เย็นๆ ห้าโมงกว่าๆ ก็มารับกลับ แถมกลางคืนเวลาเด็กอยู่บ้าน ก็ปล่อยให้เด็กเล่นเกมบ้าง ดูทีวีบ้าง ไม่ได้ช่วยเด็กในเรื่องการเรียนเลย..ไม่มีปฏิสัมพันธ์กับเด็ก รุ่งเช้าก็มาโยนไว้อีก..
แล้วมาบอกว่า..เออ ลูกฉันไม่เอาใจใส่การเรียนเลย..เฮ้อ..แล้วท่านล่ะ..
ยัง..ยังครับ ยังไม่จบยังมีต่ออีกนะ..
วันนี้ ขี้เกียจเขียนแล้วล่ะ..