ป้ายกำกับ

18 กรกฎาคม 2551

ความขัดแย้ง..

ความขัดแย้ง..

ความขัดแย้ง คือ สิ่งที่ทำให้เกิดความไม่สอดคล้องกัน สิ่งที่ตรงข้ามความแตกต่างความไม่สัมพันธ์

ถ้ามนุษย์เรารับรู้ ถึงความแตกต่างที่มีอยู่ ดังนั้นความขัดแย้งก็ย่อมมีอยู่ (คถตา:มันเป็นเช่นนั้นเอง))นอกเหนือจากนั้น คำนิยามของความขัดแย้งจะรวมไปถึงความคิดที่ตรงข้ามกันแบบตกขอบ การใช้เล่ห์เพทุบาย การไม่ลงรอยกันซึ่งต้องใช้ความพยายามสูงในการควบคุม ความขัดแย้งที่เปิดเผยออกมาให้เห็น เช่น การขัดขืน การสไตรค์ การจลาจล สงคราม เป็นต้น



มีความคิดสำหรับหัวข้อนี้ หลายๆประการด้วยกันที่มีผลกระทบต่อองค์กร..



บางคนบอกว่าความขัดแย้ง ทำให้องค์กร แตกแยก ขาดความสามัคคี..

บางความคิดก็ว่า ความขัดแย้ง ก่อให้เกิด การสังสรรค์ และพัฒนา..

หลายคนกลับบอกว่า ความขัดแย้งก่อให้เกิดความสมดุลย์..



ครับ...ก็หลากหลายความคิด



สำหรับแนวคิดในเรื่องของความขัดแย้งนั้น Robbins(1998:12 -14) ได้แบ่งออกเป็น 3 แนวทาง คือ

1.แนวคิดแบบดั้งเดิม สรุปว่า ความขัดแย้งเป็นสิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยง เลวร้าย หน้าที่ของผู้บริหาร คือ การขจัดความขัดแย้ง ผู้บริหารระดับสูง เป็นผู้แก้ปัญหาความขัดแย้ง

2.แนวคิดพฤติกรรมศาสตร์ สรุปว่า ความขัดแย้งเป็นสิ่งธรรมชาติหลีกเลี่ยงไม่ได้ มิใช่จะเกิดผลร้ายแรงต่อองค์การอย่างเดียว แต่อาจจะทำให้เกิดผลดีต่อองค์การด้วย หน้าที่ของผู้บริหาร คือ จัดระดับความขัดแย้ง กระตุ้นหรือยุติความขัดแย้ง เพื่อดำเนินการที่ดีกว่า และสมดุลย์

3.แนวความคิดด้านปฏิกิริยาสัมพันธ์ นับเป็นแนวคิดที่มองความขัดแย้งในแง่ดี สร้างสรรค์ คล้าย ๆ

กับแนวพฤติกรรมศาสตร์ที่มองว่าความขัดแย้งเป็นสิ่งจำเป็น ควรกระตุ้นให้เกิด การบริหารความขัดแย้งก็คือ การยอมรับว่าความขัดแย้ง การกระตุ้น การแก้ไข ..



การแก้ปัญหาความขัดแย้งเป็นหน้าที่ของผู้บริหาร และเพื่อให้การขัดแย้งนั้นนำไปสู่ความสมดุลย์ และพัฒนาองค์กรไปได้ตามเป้าหมายที่ต้องการ.



...............................
นับว่าเป็น ปัญหาที่ค่อนข้างจะน่าหนักใจ สำหรับผู้บริหารมือใหม่ หลายๆคน
เพราะปัญหาในแต่ละองค์กรนั้น ย่อมมีปัญหาไม่เหมือนกัน
จะใช้สูตรสำเร็จมา แก้ปัญหานั้นอาจจะไม่ ประสบกับความสำเร็จได้เลย.

12 กรกฎาคม 2551

สิ่นหมินพัฒนา v 7.0

เรื่องการจัดซื้อสิ่งของต่างๆเพื่อใช้ในการเรียน การสอน ก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะปัจจุบันนี้ การจัดซื้อในองค์กรต่างๆมักจะมีปัญหาเรื่องเปอร์เซ็นต์ค่าคนดำเนินการจัดซื้อ มักจะมีการเอาผลประโยชน์เข้าตัว ซึ่งจะก่อให้เกิด การคอร์รัปชั่น ซึ่งมีหลายวิธีด้วยกัน..เท่าที่รู้ ขอยกตัวอย่างให้เพื่อนครูได้รับทราบดังนี้..


๑.ขอเปอร์เซ็นต์ จากการจัดซื้อ เช่นไปตกลงกับร้านค้า ว่าถ้ามาซื้อที่ร้านนี้แล้ว ขอส่วนลด 10 เปอร์เซ็นต์บ้าง 15 เปอร์เซ็นต์บ้าง แล้วแต่สินค้าที่กำไรมาก กำไรน้อยของทางร้านเขา


๒.บวกบิลเพิ่ม ซื้อสินค้า ราคา 100 บาท บอกให้ร้านลงราคาไป 150 บาท กำไรเหนาะๆเข้าตัวเอง 50 บาทต่อชิ้น ถ้าซื้อซัก 50 ชิ้นก็ได้กำไรแล้ว 2500 บาท สบายไป


๓.เติมบิลใหม่ นี่ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะหาเงินใส่กระเป๋าตัวเอง กรรมวิธีหรือครับ..
ง่ายๆดังนี้ เช่น ซื้อ ลูกฟุตบอล 30 ลูก แต่ให้ลงเพิ่มอีกว่า ซื้อปูนขาวโรยเส้นสนาม อีก 300 ถุง จริงๆแล้วไปซื้อปูนขาว แค่ 100 ถุง กำไรเข้ากระเป๋าสบายๆอีก 200 ถุง ถ้าถุงละ15 บาทก็รับทรัพย์ ไปอีก 3000 บาท สบายไป..สินค้าพวกนี้ตรวจนับได้ก็จริงเวลาร้านค้ามาส่งของเขาจะเอามาครบ แต่เวลาเอาไปโรยเส้นก็โยแค่ 100 ถุง ที่เหลือก็เอาไปคืนรับเงินกลับไปแทน..


๔. ขอของแถม เช่น ซื้อสินค้าอะไรก็ตาม ก็ขอของแถมจากร้านค้า เสมอๆ ซื้อกระดาษสามห่อ ขอไดอารี่ซักเล่มนะ เอาไปใช้ส่วนตัว (ทำตัวเหมือนขอทาน) ร้านค้าก็ไม่โง่หรอกครับ เขาก็บวกราคาในตัวสินค้าไว้เรียบร้อยแล้ว คราวนี้บวกไม่ได้ ก็บวกงวดหน้า โรงเรียนก็ซื้อของแพงขึ้น..เฮ้อ..



จริงๆแล้ววิธีการต่างๆมีมากกว่านี้ กลัวเขียนต่อแล้วจะเป็นการชี้โพรงให้กระรอกเสียเปล่าๆ
แต่... ผมเชื่อว่า คุณครู รร.สิ่นหมิน ไม่เป็นเช่นนี้อย่างแน่นอน (เพราะคุณครูทุกท่านมีเกียรติเชื่อถือได้)
.... ผมเชื่อเช่นนั้นจริงๆ...
สำหรับการจะสั่งซื้ออะไรก็ตาม ผมให้เน้นดังนี้...



“ จำเป็น ประโยชน์ ประหยัด โปร่งใส เครือข่าย ”


จำเป็น ต้องจำเป็นจะใช้จริงๆเพื่อให้ นักเรียน และครูได้รับสิ่งที่ดีที่สุด


ประโยชน์ ต้องมีประโยชน์ สำหรับใช้ในการเรียนการสอนเป็นอย่างดี และสะดวกเพื่อให้เด็กได้รับสิ่งที่ดีที่สุดจริงๆ


ประหยัด อันนี้คงไม่ต้องบรรยาย ต้องซื้อของที่ดี เหมาะสมกับราคา ถูกและใช้งานได้ดีตามสภาพของสินค้านั้นๆ


โปร่งใส แน่นอนครับ การจัดซื้อ ควรจะมีการสอบราคาหลายๆแห่ง ให้ได้ราคาที่ถูก ควรต้องการใช้งาน ไม่มีการขอเปอร์เซ็นต์ ไม่มีบวกเพิ่มราคา


เครือข่าย ต้องซื้อสินค้าและบริการจาก กลุ่มคณะกรรมการใน รร.หรือ สมาชิกสมาคมของเราเท่านั้น นอกจากร้านในกลุ่มเราไม่มีสินค้านั้นๆ จึงไปหาซื้อที่อื่นๆได้ อันนี้คงไม่ต้องอธิบายนะครับ..

การจัดซื้อทุกครั้งที่มีมูลค่าเกิน 1000 บาท ต้องมีการดำเนินการดังนี้..

๑.ต้องมีโครงการ เสนอให้ ผอ. และประธานฯรับทราบก่อน

๒.ต้องมีบันทึกการจัดซื้อให้ ผอ.เห็นชอบ

๓.สืบราคา อย่างน้อย สองร้านค้า

๔.ให้ ผอ. และประธานฯ อนุมัติการจัดซื้อ
๕.เมื่อได้รับอนุมัติแล้ว ให้นำบันทึกนั้นๆไปให้กองการเงิน(คุณรุ่งทิวา)จัดซื้อต่อไป..


หวังว่าการจัดซื้อครั้งต่อไป ได้โปรดช่วยกันดำเนินการตามขั้นตอนดังกล่าวนะครับ

เพื่อความเป็นระเบียบขององค์กรของเรา ให้เข้าสู่ระบบสากลเสียที...

หรือ..คุณครูมีความคิดเห็นต่างจากนี้ ก็ แสดงความคิดเห็นได้นะครับ..

ยินดีฟังเหตุผลของคุณครูทุกคนอยู่แล้วจ๊ะ..

----------------------------------------

-----------------------------------------



Free Website Counter

Free Counter